วิทเยนทร์ : ถ้าเงินที่ได้มาเป็นเงินที่ไม่ชอบ ควรจะคืนไหมครับ?
ลีลาวดี : เอาอย่างนี้ ถ้าสมมติว่า ถ้าลูกของคุณไปขโมยเงินมา เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็สร้างบ้านเรียบร้อยแล้ว
ปรากฎว่าเป็นบ้านแล้วนะ ค้นพบว่าลูกไปโกงเขามา ต้องทุบบ้านทิ้งไหมคะ
วิทเยนทร์ : ผมต้องไปหาเงินมาคืนครับ ต้องทำทุกอย่างที่จะหาเงินมาคืน
ลีลาวดี : ถ้ารู้ .. ถ้าอย่างงั้นคุณต้องไปหาเงินมาคืน แต่ถามว่าต้องทุบบ้านทิ้งไหม
วิทเยนทร์ : ไม่ต้องทุบบ้านทิ้ง แต่ต้องไปหาเงินมาคืนครับ
ลีลาวดี : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนบริจาคให้วัดธรรมกายมีมากมายมหาศาล เราไม่มีทางรู้หรอกว่าลูกศิษย์เราไปทำอะไรมาบ้าง?
***************
ผมอ่านดูแล้วรู้สึกว่ามันเป็นตรรกะที่เพี้ยนๆยังไงไม่รู้แฮะ...
ลีลาวดี : เอาอย่างนี้ ถ้าสมมติว่า ถ้าลูกของคุณไปขโมยเงินมา เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็สร้างบ้านเรียบร้อยแล้ว
ปรากฎว่าเป็นบ้านแล้วนะ ค้นพบว่าลูกไปโกงเขามา ต้องทุบบ้านทิ้งไหมคะ
ลีลาวดี : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนบริจาคให้วัดธรรมกายมีมากมายมหาศาล เราไม่มีทางรู้หรอกว่าลูกศิษย์เราไปทำอะไรมาบ้าง?
2 ประโยคนี้รู้สึกว่ามันจะขัดๆกันเองพิกลนะครับ
ความเห็นส่วนตัว...ผมมองว่า มันค่อนข้างจะเพี้ยนไปหน่อย
ประโยคที่ 1
รู้ว่าลูกไปโกงเค้ามา ต้องทุบบ้านทิ้งไหม ?
คำตอบคือ ผมไม่ทุบครับ (คิดเหมือนคุณวิทเยนทร์) เพราะบ้าน ไม่ได้ถูกขโมยมา แต่เงินที่นำมาสร้างบ้านซิครับ
เป็นเงิน ที่รู้ว่าลูกขโมยมา ต้องหาเงินไปคืนเขา และเมื่อคืนเงินแล้ว ลูกผมคนที่ขโมยมา มันก็ต้องมีความผิดเข้าคุกไป
ไม่ใช่คืนแล้วจบ เพราะความผิดฐานขโมยเงิน ยังมีอยู่
ประโยคที่ 2 เราไม่มีทางรู้ว่าลูกศิษย์เราไปทำอะไรมาบ้าง !
ประโยคที่ 1 บอกว่ารู้ แล้วทำไม ประโยคที่ 2 ถึงบอกว่าไม่รู้ ?
แม้ว่ามันจะเป็นการยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบก็เถอะ
ขนาดตัวอย่างที่ยกมาเทียบเคียง ยังไม่เข้ากัน
แล้วปัญหาอื่นๆอีกมากมาย มันมิลื่นไหลเรื่อยเปื่อยไปหรือครับ
========================= ตรรกะที่น่าคิดของคุณลีลาวดี =======================
ลีลาวดี : เอาอย่างนี้ ถ้าสมมติว่า ถ้าลูกของคุณไปขโมยเงินมา เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็สร้างบ้านเรียบร้อยแล้ว
ปรากฎว่าเป็นบ้านแล้วนะ ค้นพบว่าลูกไปโกงเขามา ต้องทุบบ้านทิ้งไหมคะ
วิทเยนทร์ : ผมต้องไปหาเงินมาคืนครับ ต้องทำทุกอย่างที่จะหาเงินมาคืน
ลีลาวดี : ถ้ารู้ .. ถ้าอย่างงั้นคุณต้องไปหาเงินมาคืน แต่ถามว่าต้องทุบบ้านทิ้งไหม
วิทเยนทร์ : ไม่ต้องทุบบ้านทิ้ง แต่ต้องไปหาเงินมาคืนครับ
ลีลาวดี : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนบริจาคให้วัดธรรมกายมีมากมายมหาศาล เราไม่มีทางรู้หรอกว่าลูกศิษย์เราไปทำอะไรมาบ้าง?
ผมอ่านดูแล้วรู้สึกว่ามันเป็นตรรกะที่เพี้ยนๆยังไงไม่รู้แฮะ...
ลีลาวดี : เอาอย่างนี้ ถ้าสมมติว่า ถ้าลูกของคุณไปขโมยเงินมา เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็สร้างบ้านเรียบร้อยแล้ว
ปรากฎว่าเป็นบ้านแล้วนะ ค้นพบว่าลูกไปโกงเขามา ต้องทุบบ้านทิ้งไหมคะ
ลีลาวดี : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนบริจาคให้วัดธรรมกายมีมากมายมหาศาล เราไม่มีทางรู้หรอกว่าลูกศิษย์เราไปทำอะไรมาบ้าง?
2 ประโยคนี้รู้สึกว่ามันจะขัดๆกันเองพิกลนะครับ
ความเห็นส่วนตัว...ผมมองว่า มันค่อนข้างจะเพี้ยนไปหน่อย
ประโยคที่ 1 รู้ว่าลูกไปโกงเค้ามา ต้องทุบบ้านทิ้งไหม ?
คำตอบคือ ผมไม่ทุบครับ (คิดเหมือนคุณวิทเยนทร์) เพราะบ้าน ไม่ได้ถูกขโมยมา แต่เงินที่นำมาสร้างบ้านซิครับ
เป็นเงิน ที่รู้ว่าลูกขโมยมา ต้องหาเงินไปคืนเขา และเมื่อคืนเงินแล้ว ลูกผมคนที่ขโมยมา มันก็ต้องมีความผิดเข้าคุกไป
ไม่ใช่คืนแล้วจบ เพราะความผิดฐานขโมยเงิน ยังมีอยู่
ประโยคที่ 2 เราไม่มีทางรู้ว่าลูกศิษย์เราไปทำอะไรมาบ้าง !
ประโยคที่ 1 บอกว่ารู้ แล้วทำไม ประโยคที่ 2 ถึงบอกว่าไม่รู้ ?
แม้ว่ามันจะเป็นการยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบก็เถอะ
ขนาดตัวอย่างที่ยกมาเทียบเคียง ยังไม่เข้ากัน
แล้วปัญหาอื่นๆอีกมากมาย มันมิลื่นไหลเรื่อยเปื่อยไปหรือครับ